รถโดยสารสาธารณะที่เราเดินทางเป็นรถของ บขส. ที่เพิ่งเปิดบริการเมื่อเดือนมีนาคม 2012 ที่ผ่านมานี้เอง เป็นรถโดยสารระหว่างประเทศจากอุดรฯ มุ่งหน้าวังเวียงประเทศลาว ต้นทางอยู่ที่อุดรธานีแวะรับผู้โดยสารที่หนองคายด้วย รถเป็นรถโดยสารปรับอากาศ ไม่มีห้องน้ำ แต่เค้าจะแวะเป็นจุดๆ ให้เราเข้าห้องน้ำและกินข้าวกลางวัน ค่าโดยสารจากอุดรไปวังเวียง ราคา 320 บาท หากขึ้นที่หนองคายราคา 270 บาท มีรถที่ยวไปและกลับวันละ 1 รอบ โดยรอบออกจากอุดรฯ มีตอน 07.00 น. และเที่ยวกลับจากวังเวียงตอน 10.00 น.
เราซื้อตั๋วกันไว้แล้ว พร้อมเดินทางกันทุกคน อ้อ ลืมบอกว่าหากเดินทางวันเสาร์ อาทิตย์ หรือวันหยุด จะเสียค่าล่วงเวลา คนละ 5 บาท นะคะ รถออกจากสถานีขนส่นอุดรฯ ตรงเวลาเป๊ะเลยค่ะ ออกเดินทางกันไปเรื่อยๆ รถมาจอดอีกที ที่หนองคายเพื่อแวะรับผู้โดยสาร แต่ด้วยความที่รถยังใหม่มาก คนทั่วไปอาจจะยังไม่ค่อยรู้จัก ทั้งคันรถนอกจากพวกเรา 8 คนแล้ว ก็มีผู้สาวลาวอีก 2 คน ซึ่งคนนึงก็ลงที่ด่านลาว ส่วนอีกคนก็ลงที่เวียงจันทร์ สรุปว่าเราเดินทางไปวังเวียงด้วยรถคันใหญ่โตกัน 8 คน คราวนี้เลยสบายเลย เรียกว่านอนกันไปจนถึงวังเวียง คนละเบาะเลยหล่ะ แหม ยังกับเหมารถส่วนตัวมายังงั้น

ภาพ : ซื้อตั๋ว อุดร-วังเวียงที่นี่

ภาพ: ตั๋วเดินทาง ไปวังเวียง ราคา 320 บาท

ภาพ : รถมาจอดที่ท่ารถตรงเวลา 7โมงเช้า เตรียมขึ้นรถได้เลย

ภาพ : สถานีรถหนองคาย รถที่เรานั่งไปแวะรับผู้โดยสารที่นี่ด้วย

ภาพ: รถจอดที่หนองคายประมาณ 30นาที สามรถลงมาเข้าห้องน้ำได้
จากหนองคายไม่นานนักก็ถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ก่อนจะข้ามสะพานเราก็มาแสตมป์พาสปอร์ตกันก่อน ใครจะไปเกินสามวันควรมีพาสปอร์ตมาด้วย และพาสปอร์ตก็ควรมีอายุเหลือไม่ต่ำกว่า 6 เดือนนะคะ
มาถึงด่านไทยเราก็มากรอกเอกสาร เป็นบัตรอันไม่ใหญ่ใช้ใส่รายละเอียดส่วนตัวของเรา พวกชื่อ ที่อยู่ เลขหนังสือเดินทาง วันเดือนปีเกิด อาชีพ ซึ่งที่ด่านลาวก็ต้องกรอกเช่นกัน บางทีบนรถกระเป๋ารถอาจเตรียมมาไว้ให้เรากรอกเพื่อทำเวลาก็ได้ แต่หากไม่มีก็ลงไปกรอกที่ด่านก็ได้ ยืนบัตรเข้าออกพร้อมพาสปอร์ตให้เจ้าหน้าที่แสตมป์เรียบร้อย ก็กลับมาขึ้นรถได้เลย

ภาพ : เอกสารสำหรับเข้าประเทศลาว กรอกไว้จะได้ไม่เสียเวลา
หลังจากข้ามสะพานมิตรภาพมาแล้วเราก็จะเจอกับด่านลาว ทำทุกอย่างเหมือนกันแต่เนื่องจากเราเดินทางวันอาทิตย์ จึงต้องจ่ายค่าล่วงเวลา 9000 กีบ หากไม่มีก็จ่ายเป็นเงินไทย 40 บาท (จะขาดทุนนิดหน่อย ปกติเค้าคิดราคา 5000 กีบ เท่ากับ 20 บาท) บริเวณนั้นจะมีธนาคารให้เราเข้าไปแลกเงินได้ เพราะหากแลกจากธนาคาร อาจได้เพิ่มขึ้นมาซักเล็กน้อย (วันอาทิตย์ธนาคารปิดนะค่ะที่ด่านก็ไม่เปิด)

ภาพ: ด่านฝั่งลาว

ภาพ: เสียไป 9,000 กีบ ค่าล่วงเวลาวันอาทิตย์
นอกจากธนาคารแล้วบริษัทประกันก็อยู่บริเวณนี้ด้วย ไว้สำหรับคนที่จะขับรถจากฝั่งไทยเข้าไปที่ลาว ต้องซื้อประกันก่อน เรื่องการแลกเงินนั้น โดยปกติที่ลาว ร้านค้าส่วนใหญ่ก็รับเงินไทยนะคะ มีเพียงบางร้านเท่านั้้นที่ไม่รับ แต่ก็น้อยมากค่ะ อัตราแลกเปลี่ยนที่ร้านค้าใช้คือ 250 กีบ เท่ากับ 1 บาท หรือ 5000 กีบ เท่ากับ 20 บาท นั่นแหละค่ะ หากเราไปแลกเงินลาวที่ธนาคารเราอาจได้มากกว่า 250 กีบ(ขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนในช่วงนั้น) ยกตัวอย่างเช่น ตอนที่เราไป เราแลกเงินจากธนาคารมา 1000 บาท ได้มา 256,600 กีบ แต่ถ้าเราไปแลกที่ร้านค้าจะได้มา 250,000 กีบ ถ้าเทียบเป็นเงินไทยก็ได้เพิ่มมาประมาณ 26 บาท แต่หากไม่ได้อยู่นาน และไม่สะดวกจะแลกที่ธนาคารละก็ ไปแลกตามร้านค้าที่วังเวียงเลยก็ยังได้ หรือไม่ก็ที่ธนาคารในวังเวียงก็มีให้แลก
เลยเวียงจันทร์มาซักพัก รถพาแวะร้านค้าหนึ่ง คนรถเรียกที่นั่นว่าตลาดข้าวจี่(ขนมปังฝรั่งเศสที่เรารู้จักกันนี่แหละ) ซึ่งปกติเค้าจะไม่ได้แวะกันตรงนี้หรอก แต่พอดีว่าคนขับเค้าแวะซื้อโจ้ก เราเลยเนียนๆ ลงไปซื้ออะไรกินกันด้วย ที่นี่เค้านำข้าวจี่มาย่างไฟ แล้วก็ผ่าตรงกลางออก เอาผักใส่ หมูยอใส่ หมูหยองโรย ราดด้วยซอสพริก กลายเป็นอาหารฮอตฮิตของคนที่มาเที่ยวลาว ที่เรียกว่าปาเต๊ะ ราคาที่ร้านนี้ขายเราถูกกว่าในวังเวียง เพราะไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อันไม่ใหญ่มากนักแต่ก็ทำให้เรากินไม่หมดแบบนี้ราคา 20 บาท ทำเอาอิ่มแปล้ไปเลยทีเดียวค่ะ ส่วนข้าวจี่อันยาวๆ ใหญ่ๆ นี่ขายสองอัน 40 บาท เทียบราคาขนมปังฝรั่งเศสบ้านเราอันนึงก็เกือบสี่สิบบาทเข้าไปละ

ภาพ: ตลาดข้าวจี่ ขนมปังฝรั่งเศสเพียบ

ภาพ : คนขับบอกว่าแม่ค้าร้านนี้สวย

ภาพ: มีหลายขนาดให้เลือกกิน

ภาพ : ซื้อชิ้นเล็กแบบ 5,000กีบมากิน

ภาพ: ภาพตัดแนวขวาง เห็นใส่ที่ยัดมาเต็มที่ รสชาติอร่อยเผ็ด

ภาพ : กินกันทั้งรถ ซื้อมากินแทนข้าวเที่ยง
ระหว่างทางจากเวียงจันทร์ไปถึงวังเวียงระยะทางประมาณ 150 กิโลเมตร ทางบางช่วงจะค่อนข้างแคบ เป็นทางโค้งบนภูเขาก็มี แต่ก็ขับได้อยู่ หวาดเสี่ยวก็ตอนรถสวนกันนี่แหละค่ะ บางช่วงเราจะผ่านหมู่บ้าน บางช่วงสวยมากเห็นเป็นเนินเขาเตี้ยๆ มีหญ้าสีเขียวขจีขึ้นยังกับปูพรมสีเขียวไว้เลย อีกจุดที่น่าสนใจคือใกล้กับทางแยกที่ติดป้ายไว้ว่าทางแยกไปเขื่อนน้ำงืม 2 นั้น มีร้านขายพวกปลาตากแห้งเต็มไปหมด คาดว่าน่าจะมาจากเขื่อนนี่แหละ เสียดายที่รถไม่ได้แวะ อยากรู้เหมือนกันว่าปลาเค็มที่ลาวจะอร่อยไหม

ภาพ : ระหว่างทาง บางช่วงก็เป็นลุกรังสีแดงแบบนี้ และทางคดเคี้ยว

ภาพ : จะเห็นว่าตามพื้นที่โล่งในลาวมีหญ้าขึ้นสวยแทบทุกจุด

ภาพ : ระหว่างทาง เห็นหญ้ามั๊ย ขึ้นสวยเป็นธรรมชาติ

ภาพ: มีซุ้มขายของริมทางด้วย
นั่งรถมาเพลินๆ ไม่หลับเลยซักนิด เพราะนอกจากการนั่งมองทัศนียภาพสวยงามข้างทางแล้ว การขับรถเลนขวาพวงมาลัยซ้ายในประเทศลาว ก็ทำให้เราตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียว(บ้านเราขับเลนซ้ายพวงมาลัยขวา)บางทีเหมือนว่ารถทั้งสองเลนวิ่งกลางถนน แต่พอใกล้จะถึงกันก็เบี่ยงไปในเลนของตัวเองโดยอัตโนมัติ ตอนแรกๆ ที่ขึ้นรถตื่นเต้นมาก นึกว่าจะชนกันซะแล้ว นั่งไปเรื่อยๆ จนชิน สภาพถนนบางช่วงที่อยู่ในเวียงจันทร์ก็เป็นถนนลาดยาง พอเลยไปบางช่วงก็เป็นลูกลังสีแดง ขรุขระบ้างเป็นบางช่วง ถ้าไม่ได้มารถแอร์ละก็ ลงจากรถคงกลายเป็นลูกครึ่งหัวแดงแน่นอน แต่ทางขรุขระก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคกับเราซักเท่าไหร่ นั่งเพลินๆ ไป เดียวก็ถึง ระหว่างทางพี่คนขับแวะให้เราเข้าห้องน้ำด้วย ค่าห้องน้ำคนละ 1000 กีบ(แต่ถ้าไม่มีเงินกีบก็จ่ายคนละ 5 บาท)
เราถึงวังเวียงตอนบ่ายโมงพอดีเป๊ะ จากที่จอดรถโดยสารห่างจากตัวเมืองประมาณ 1 กิโลเมตร พอเราลงรถก็มีรถคล้ายๆ สกายแล็บบ้านเรานี่แหละ ที่นั่นเรียกตุ๊กๆ หรือ แท็กซี่ มารอรับเราไปส่งที่หน้ามาลินีเกสเฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริการฟรี เนื่องจากเราจองที่พักกันไว้แล้วจึงเดินต่ออีกนิดไปที่พักติดแม่น้ำซอง มองเห็นวิวภูเขาหินปูนชัดเจน เป็นภาพพานอรามาเมื่อเปิดประตูห้องออกมาเลยที่เดียว

ภาพ : มาถึงวังเวียง บ่ายโมงพอดีเลย

ภาพรถตุ๊กๆที่มารับไปส่งในเมืองให้ฟรี ไม่คิดเงิน

ภาพ : นั่งรถเข้าเมืองวังเวียง

ภาพ : แล้วก็เดินต่ออีกนิดก้ถึงที่พักแล้วล่ะ

ภาพ : ที่พักของเราอยู่ข้างหน้านั้นไง
ที่พักที่วังเวียงมีเยอะแยะค่ะ หากเดินทางมากันไม่เยอะและไม่ใช่ช่วงไฮซีซั่นละก็ การวอคอินน่ะจะได้ที่พักที่ราคาถูกและดี สามารถเลือกได้อย่างหลากหลายค่ะ แต่หากเดินทางหลายคนละก็แนะนำให้จองไปจะดีกว่า รอบนี้เราไปกันหลายคนอยู่ จึงเลือกจองผ่านอะโกด้า การจองผ่านอะโกด้ามีข้อดีคือเราได้ที่พักแน่นอน บางครั้งอาจถูกกว่า บางครั้งก็แพงกว่า ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาการจอง การจองล่วงหน้านานๆ จะได้ราคาถูกกว่า ยกตัวอย่าง ครั้งแรกที่เราเข้าไปจองที่พักสำหรับคนแปดคน เราเลือกห้องสามคน 2 ห้อง และ ห้องสองคน 1 ห้อง จำนวน 2 คืน ห้องพักแอร์ มีไวไฟเฉพาะที่ล็อบบี้ ราคารวมภาษีและค่าบริการหารกันแปดคน จ่ายคนละ 609 บาท แต่เรายังไม่ได้จองในสัปดาห์นั้น มาจองถัดมาอีกหนึ่งสัปดาห์ จ่ายคนละ 764 บาท จะเห็นได้ว่าราคาการจองที่อะโกด้าจะขึ้น ลง อยู่เสมอ เปรียบเทียบกันดูได้เลยค่ะ แต่หากไปกันสองสามคนก็ไปเดินหาเอาได้เลย บางที่ราคาแค่ 400 บาท มีแอร์ มีไวไฟร์ในห้องด้วย รวมอาหารเช้าอีก เอาเป็นว่าที่พักในวังเวียงนั้นคุ้มค่าและมีให้เลือกมากมาย ใครชอบแบบสไตล์รีสอร์ทก็มี เป็นบ้านไม้แยกเป็นหลังๆ ติดแอร์ ราคาอยู่ที่หลังละ 1800 บาท

ภาพ: ห้องพักของเราคืนนี้

ภาพ: วิวทิวทัศน์มองออกมาจากห้องพักของเรา
เก็บของในห้องพักและอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยแล้วก็ออกไปหาอะไรกินกัน ร้านแรกเราเลือกร้านที่อยู่ใกล้กับที่พัก และเห็นว่าร้านนี้มีนักท่องเที่ยวต่างชาตินั่งอยู่ตรึมเลย คงอร่อย ร้านอาหารที่วังเวียงมีเยอะค่ะ แต่ที่คล้ายๆ กันเห็นจะเป็นสไตล์การจัดที่นั่ง แบบที่มีเบาะรองนั่ง มีหมอนไว้พิงหลังให้ด้วย แบบว่ากินอิ่มก็นอนหลับกันได้เลยทีเดียว เพราะจากการสังเกตุพฤติกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติส่วนใหญ่จะมากินและก็ดื่มกันจากนั้นก็นั่ง นอน ดูทีวีกันบ้าง คุยกันบ้าง แบบว่าเป็นการใช้เวลายาวๆ ที่ร้านอาหารนี่แหละ สำหรับคนที่ไม่ได้ไปทำกิจกรรมท่องเที่ยวอื่นๆ
มื้อแรกที่ร้าน The other side restaurant จานหลักของเราคือเฝอเนื้องัว(ต้องบอกเค้าด้วยนะว่าเนื้องัว เรียกตามเค้าน่ะค่ะ) เฝอก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กบ้านเราใส่หอมทอดนี่แหละคะ เค้าใส่ผักตามที่มีในร้านค่ะ รสชาติก็ใช้ได้ตามอัตภาพของก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละค่ะ ที่สะดุดตาคือ ชามใหญ่มาก กินสองคนยังได้เลยค่ะ ชามที่เรากินนี้ ราคาเป็นเงินไทยเท่ากับ 60 บาท

ภาพ: ในร้าน The Other Side

ภาพ : เฝอเนื้องัว

ภาพ: ทั้งเฝอ และ ส้มตำลาว

ภาพ : เต็มโต๊ะเลย
ถึงแม้ว่าจะอิ่มแล้วก็อดไม่ได้ สำหรับแฟนพันธุ์แท้ปลาร้าอย่างเรา ที่จะสั่งตำลาวมาอีกหนึ่งจานเพื่อทดสอบความแซ่บกันซักหน่อย ตำลาวรสชาติก็ใช้ได้นะคะสำหรับเรา แต่ก็ไม่ถือว่าอร่อยจัดจ้านมากนัก ต้องขอออกตัวก่อนว่าเราชอบรสชาติจัดจ้าน ตำลาวจึงอาจจะรสอ่อนไปสำหรับเราแต่สำหรับคนที่ไม่ชอบรสจัดมากอาจจะชอบก็ได้ค่ะ ถ้าจะพูดถึงปลาร้าละก็รู้สึกว่ากลิ่นมันไม่ค่อยหอมเท่าที่ควรจะเป็น กลิ่นปลาร้าไม่แรงนัก มาแบบโชยมาเบาๆ รสชาติเค็มเล็ก ไม่เปรี้ยวมากนัก แต่เผ็ดโดนใจค่ะ เส้นมะละกอค่อนข้างเล็กเวลาตำจึงดูเละๆ ไปนิดนึง แต่ก็อาจถูกใจบางท่่านที่ชอบแบบเส้นเล็กๆ รสชาติแซ่บนัว อะไรอย่างนั้น โดยส่วนตัวตำลาวถือว่าไม่โดนใจมากนักแต่ก็ไม่เลวร้าย
ออกจากร้านอาหารก็แดดร่มพอดี เดินดูตามร้านค้าต่างๆ มีเสื้อผ้าที่มีโลโก้ทูปิ้งหรือการล่องห่วงยางขายอยู่เต็มไปหมด หลากหลายสีสัน ทำให้เราต้องถ่อยชุดมาเล่นน้ำกันซักหน่อยดีกว่า เลือกอยู่นานได้มาหนึ่งชุดสีชมพูทั้งเสื้อและกางเกง เค้าขายเสื้อกล้ามตัวละ 100 บาท ต่อไปต่อมาเหลือ 80 บาทพอดี หลังจากเดินสำรวจตามร้านต่างๆ เพื่อย่อยอาหารเรียบร้อยแล้วก็กลับเข้าห้องเพื่อเปลี่ยนชุดไปเล่นน้ำ และถ่ายรูปที่สะพานไม้ รอพระอาทิตย์ตกกัน ช่วงเย็นๆ มีคนมาเล่นน้ำที่แม่น้ำซองกันเยอะแยะ บางคนก็มาหาปลา บางคนก็พายแคนู ขี่จักรยาน ถ่ายรูป นั่งคุยกันในน้ำ บรรยากาศยามเย็น เบื้องหน้าเป็นภูเขาหินปูน ที่หลายๆ คนมักเรียกที่นี่ว่ากุ้ยหลินเมืองลาว แต่เราคงจะไม่ใช้คำนั้นนะคะ เพราะสำหรับเราแล้วทุกๆ ที่ จะมีความเฉพาะตัวของเค้า มีเสน์ห์ที่แตกต่างกันไป จึงชอบที่จะให้แต่ละที่นั้น ได้มีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่าที่จะเป็นที่อื่นๆ

ภาพ : เลือกเสื้อไปใส่เล่นน้ำ

ภาพ : เล่นน้ำกันที่ริมน้ำซอง

ภาพ : ผู้คนกับหลากหลายกิจกรรมยามเย็นที่ลำน้ำซอง

ภาพ : เราก็มาเล่นน้ำ ถ่ายรูป
ที่นี่มีภูเขาหินปูนที่ถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวของต้นไม้ กับบรรยากาศริมน้ำที่นักท่องเที่ยว และผู้คนต่างใช้ชีวิตกันเรื่อย ๆ ไม่รีบร้อนอะไรก็เป็นสิ่งดึงดูดสายตา ให้เราหยุดนั่งมองได้พักใหญ่เลยหล่ะ (นั่งมองในน้ำ) เวลาล่วงเลยมาเร็วมากจนแทบไม่รู้ตัวเลยค่ะ เผลอแว้บเดียว ดวงอาทิตย์จะลาลับไปเบื้องหลังเขาหินปูซะแล้ว ถึงเวลาที่ต้องขึ้นจากน้ำไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า มาใช้ชีวิตยามค่ำคืนที่วังเวียงกันซะแล้ว
นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวที่วังเวียง ผู้คนที่นี่ ดูจะยิ้มแย้มแจ่มใส กันดีจัง นักท่องเที่ยวต่างชาติหลายคนก็เดินเข้ามาทักทายพวกเรา บางคนเห็นเราถ่ายรูปกันก็เข้ามาขอถ่ายด้วย เข้ามาขอแอดเฟสบุค ยิ่งเพิ่มความสนุกสนานให้กับพวกเรามากยิ่งขึ้น ในการมาเที่ยววังเวียงในครั้งนี้

ภาพ : นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติมาแจมถ่ายรูปด้วยกัน
หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเรียบร้อยก็เริ่มหิวซะแล้ว เพราะเนื่องจากใช้พลังไปเยอะตอนเล่นน้ำ และโพสต์ท่าถ่ายรูปเสียจนเหนื่อย กว่าจะเลือกร้านกันได้ก็เดินกันซะจนหิวเลยละคะ ในที่สุดก็ได้ร้านตรงหัวมุมพอดี ที่เห็นว่าคนนั่งเยอะดี ร้านนี้ชื่อร้าน SanaXay (ซะนะไซ) อาหารรสชาติโอเคค่ะ เสียอย่างเดียวมันไม่ร้อนเลย ถ้าร้อนคงจะแซ่บกว่านี้ ร้านนี้หลายคนบอกว่าพิซซ่าอร่อย เสียดายที่เราไม่ได้กินเพราะว่าอิ่มซะแล้ว ร้านอาหารเกือบทุกร้านจะมีไวไฟร์ฟรี หลังจากที่เราอิ่มหนำสำราญกับอาหารแล้วเราก็หอบ Mac book มานั่งทำงานกันต่อในร้านนี้แหละ และดูบอลไปด้วย

ภาพ: ร้าน XanaXay (ซะนะไซ) ตั้งอยู่หัวมุมถนน

ภาพ : อาหารที่กินมื้อค้ำที่ซะนะไซ

ภาพ : อาหารร้านซะนะไซ

ภาพ : หารกันคนล่ะกี่แสนล่ะมื้อนี้
ก่อนจะเข้านอนคืนนี้ เราต้องไปชิมโรตีร้านที่อร่อยที่สุด ที่หลายๆ คนการันตี ว่ามาวังเวียงแล้วต้องไปชิมโรตีร้านหน้าตูเอทีเอ็ม อย่างนี้เราจะพลาดได้อย่างไรละคะ ร้านโรตีมีเยอะมากในวังเวียง เปิดแต่เช้าและปิดดึกกว่าร้านอาหารด้วย นอกจากโรตีก็มีพวกแซนวิชด้วย ราคาก็เริ่มต้นที่ 10000 -30000กีบ(40-120 บาท) คนขายเป็นคุณลุง ขายอยู่ร้านเดียวตรงนั้น ร้านอื่นๆ มักอยู่รวมกัน เราสั่งโรตีบานาน่าชีสไป ราคาแพงกว่าโรตีปกติเพราะใส่ชีสด้วย ราคาอันละ 20000 กีบ (80 บาท) บางร้านอาจขายถูกกว่านี้
ตอนลุงทำก็ขอลุงถ่ายคลิป ลุงก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แกะชีสออกมาให้ดูด้วย ร้านลุงใช้ชีสอย่างดีถ้าเทียบกับหลายๆ ร้าน ลุงใช้ครีมชีสตราวัวยิ้ม เป็นกล่องกลม ข้างในมีชีสเป็นก้อนสามเหลี่ยม ลุงทอดแป้งได้กรอบกำลังดี กล้วยไม่สุกงอมจนเกินไป รสชาติจึงออกมาหวานกำลังดี แป้งกรอบถูกใจอีกด้วย

ภาพ : ร้านโรตี หน้าATM (ธนาคารลาว)

ภาพ : เนยที่คุณลุงให้ดู พร้อมกับพยายามบอกว่า มันมีคุณภาพ

ภาพ : โรตีบานาน่าชีส
หลังจากอิ่มหนำสำราญกับโรตีหน้าตู้เอทีเอ็มสีส้มไปแล้ว คนชอบน้ำอัดลมอย่างเราก็ต้องไปหาน้ำอัดลมมาดื่มแก้ติดคอกันซะหน่อย มีเป็บซี่ กับ โค้ก ลองสังเกตุดูว่า โค้กราคาจะแพงกว่าเป็บซี่ และฉลากก็เป็นภาษาไทยด้วย ส่วน เป็บซี่นั้นราคาถูกกว่าและฉลากเป็นภาษาลาว จึงน่าจะสรุปได้ว่า มีโรงงานเป็บซี่ในลาวแต่โรงงานโค้กไม่มีจึงต้องอิมพอร์ทมาจากประเทศไทย ราคาจึงแพงกว่า อย่างเป็บซี่นี่ราคา 5000 กีบ(20 บาท) ส่วนโค้ก ราคา 7000 กีบ(28 บาท) อันนี้เป็นขนาดขวดพลาสติกเล็กๆ น่ะคะ ดังนั้นเครื่องดื่มที่เราเลือกในครานี้ได้แก่ …เป็บซี่ลาวเจ้าค่ะ ชิมแล้วถามว่าแตกต่างมั้ยก็ไม่รู้เหมือนกันนะ แต่เอาเป็นว่าคืนนั้นโรตีบานาน่าชีสและเป็บซี่ลาวก็ทำให้เราอิ่มแปล้ หลับฝันดีกันเลยละค่ะ